kruooy's Blog


เรียงความเรื่องเด็กหอพัก
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 11:02 pm
Filed under: Uncategorized

เรียงความเรื่องเด็กหอพัก

                 เมื่อข้าพเจ้าเข้าเรียนต่อชั้น ม.๑ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้อยู่หอพักประจำของโรงเรียนด้วยเหตุผลที่ว่าบ้านไกล ซึ่งข้าพเจ้าไม่ค่อยเต็มใจและไม่อยากอยู่เท่าไหร่นัก ซึ่งข้าพเจ้ายังจำวันแรกที่พ่อแม่ไปส่งได้ดี ตอนที่เอาของขึ้นไปเก็บบนหอพัก สายตารุ่นพี่น่ากลัวมาก ซึ่งตอนนั้นข้าพดจ้าเป็นคนไม่ค่อยพูดและกลัวไปซะทุกเรื่อง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ และเวลาที่พ่อแม่จะกลับก็มาถึง ข้าพเจ้าอยากจะร้องไห้ แต่พ่อก็ปลอบใจว่า เดี๋ยววันศุกร์พ่อจะมารับกลับบ้าน ส่วนแม่ไม่พูดอะไรรีบขึ้นรถทันที จนข้าพเจ้าได้รู้ทีหลังว่าแม่แอบมาร้องไห้บนรถ

                ข้าพเจ้านั่งอยู่ม้านั่งหน้าหอพักมองรถพ่อแล่นออกไปอย่างช้าๆจนพ้นหน้าประตูโรงเรียน ข้าพเจ้าอยากจะร้องไห้ และวิ่งตามรถออกไป แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องทำในตอนนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ จนเมื่อถึงเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ซิสเตอร์หรือผู้คุมหอพัก ก็เรียกทุกคนให้ไปอาบน้ำและรีบลงมารับประทามอาหารเย็น เมื่อมาถึงโรงอาหาร ก่อนจะทานข้าวก็จะมีรุ่นพี่เด็กเก่าเป็นคนนำสวด ซึ่งเป็นบทสวดที่จำเป็นต้องสวดก่อนที่จะทานข้าวทุกครั้ง และเมื่อทานข้าวเสร็จ รุ่นพี่คนเดิมก็นำสวดอีกครั้ง แต่เป็นบทสวดขอบคุณ หลังจากสวดเสร็จแล้วทุกต่างก็แยกย้ายไปล้างจานของตนเอง แล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย พอตกเย็นทุกคนก็จะมารวมตัวกันประชุม เพื่อรับฟังคำแนะนำและกฎระเบียบของหอพัก และให้ทุกคนแนะนำตัว ข้าพเจ้าเริ่มหนักใจในการแนะนำตัวเองมาก เพราะเป็นคนไม่ค่อยกล้าที่จะแสดงออกเท่าไหร่ และแล้วการแนะนำตัวก็มาถึงข้าพเจ้า ทุกสายตาจดจ้องที่ข้าพเจ้าและรอฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูด หัวใจของข้าพเจ้าเริ่มที่จะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ และข้าพเจ้าได้แต่ก้มหน้าก้มตาแนะนำตัว และในขณะนั้นข้าพเจ้าได้มองไปเห็นสายตาของรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ข้าพเจ้าไม่ค่อยที่จะชอบใจนัก มองมาที่ข้าพเจ้าและเหมือนจะหัวเราะ มันยิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่มั่นใจมากกว่าเดิม แต่สุดท้ายการแนะนำตัวของข้าพเจ้าก็จบลงด้วยรอยยิ้มของทุกๆคน

          เมื่อประชุมเสร็จก็ถึงเวลาเข้าห้องนอน โดยให้ทุกคนทั้งหอหญิงและหอชายมานั่งเรียงกันที่หน้าระเบียงหอพัก ซึ่งหอพักหญิงและหอพักชายนั้น อยู่ในชั้นเดียวกัน มีเพียงแค่ประตูเลื่อนเท่านั้นที่กั้นระหว่างหอหญิงและหอชาย และซิสเตอร์ก็นำสวดแล้วให้ทุกคนแยกย้ายเข้านอน ทุกคนดูคึกคักและพูดคุยกันเสียงดัง โดยเฉพาะเพราะกลุ่มเด็กเก่า ต่างพากันอวดผ้าห่มใหม่และหมอนข้างรูปการ์ตูนต่างๆ แต่กูมีเพียงเสียงครูคุมหอเท่านั้นทีคอยห้ามปรามแต่ก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชั่งเป็นคืนที่ยาวนานมาก ทุกคนตื่นขึ้นมาอย่างอัตโนมัติเมื่อไฟถูกเปิดขึ้น ข้าพเจ้ารีบไปอาบน้ำซึ่งอยู่ชั้นดาดฟ้าของตึก ห้องน้ำถูกจองโดยเด็กเก่า ข้าพเจ้าและเด็กใหม่คนอื่นๆ จึงต้องใส่ผ้าถุงอาบอ่างใหญ่ที่เป็นอ่างอาบน้ำรวม ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนที่เป็นเด็กใหม่ด้วยกัน เมื่ออาบเสร็จก็ลงไปที่ห้องแต่งตัว ซึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังถักเปียให้ตัวเองอยู่นั้น รุ่นพี่คนที่ข้าพเจ้าไม่ชอบใจนั้นก็ได้เข้ามาและบอกให้ข้าพเจ้าเปียผมให้ และทำให้คนอื่นๆอยากให้ข้าพเจ้าเปียผมให้ เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าถักเปียได้สวยดี และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มได้เข้าไปเป็นสมาชิกของเด็กเก่าได้เร็วกว่าคนอื่นๆ

                ชีวิตการเป็นเด็กหอของข้าพเจ้าเริ่มมีความสุขขึ้นเรื่อยตามลำดับ เมื่อมีทั้งเพื่อนที่หอพักและเพื่อนที่โรงเรียน ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนพูดเก่งขึ้น และมีเพื่อนเยอะเพราะงานถักเปียของข้าพเจ้านี้เอง และวันที่ข้าพเจ้าได้เป็นประธานหอพักก็มาถึง เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เคยอยู่หอพักต่างก็พากันย้ายออกไปหมด เหลือแค่ตัวของข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ ม.๓ นี้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมาก เพราะรู้สึกคุ้นเคยมานานและรู้สึกเป็นกันเองกับทุกคน ทั้งกับคณะซิสเตอร์ ครู แม่ครัว ภารโรง และแม่บ้าน ทุกคนที่คอยช่วยเหลือข้าพเจ้าเสมอมา ทำให้ข้าพเจ้าได้อยู่รอดปลอดภัยจนจบม.๓มาได้

                จากประสบการณ์การอยู่หอของข้าพเจ้าที่เล่ามาทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่ใครไปอยู่ก็คงจะมีชีวิตที่ไม่ต่างจากข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้ไปอยู่ และสัมผัสถึงมิตรภาพดีๆของการอยู่ร่วมกัน ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า สิ่งที่ซิสเตอร์ได้สั่งสอน ตักเตือน ลงโทษ และให้รู้จักปรับตัวเมื่ออยู่กับคนอื่น สิ่งเหล่านี้สอนให้ข้าพเจ้าได้รู้จักการใช้ชีวิตเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น และตอนนี้เวลาก็ผ่านไป ๓ ปีแล้ว ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปเล่นกับน้องๆบ่อยๆ และข้าพเจ้าก็คิดว่าศิษย์เก่าหอพักโรงเรียนมารีพิทักษ์สว่างแดนดินทุกคน คงไม่ลืมสถานที่แห่งนี้

 นางสาวสุกัญญา แสงฉวี  ม.๖/๔  เลขที่ ๔๕



ครั้งหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า…ที่ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 11:00 pm
Filed under: Uncategorized

เรื่อง  ครั้งหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า…ที่ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่

         ทุกคนที่เกิดมาแล้วจะผ่านเรื่องราวของชีวิตที่มีหลากหลายรูปแบบมีทั้งดีใจ  เสียใจ  ประทับใจ  มากมายจนบางครั้งเราอาจจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปแล้ว  แต่ในครั้งหนึ่งของชีวิตนั้น  ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ทุกคนต้องจำสิ่งนี้ได้เป็นแน่  ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เกิดมาเป็น  “ลูกของแม่”
         ไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไร  จะอยู่ที่ไหน  หรือจะยุ่งขนาดไหน  เมื่อข้าพเจ้านึกถึง  แม่  ข้าพเจ้าจะนึกถึง  ผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่งที่ต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นต้องนั่งเย็บผ้าอยู่ที่จักรเย็บผ้าเกือบตลอดทั้งวัน  เพื่อให้ผ้าแต่ละชุดนั้นเสร็จทันเวลาที่ลูกค้ามารับ  แม่ของข้าพเจ้านั้นทำหน้าที่พ่อ  แทนคุณพ่อและทำหน้าที่แม่  ได้อย่างดีเยี่ยมท่านทำงานหนักตลอดเพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว  ที่มีคุณยายและข้าพเจ้า  แม่ของข้าพเจ้านั้นถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้แข็งแรงเหมือนหนุ่มสาวที่อายุยังน้อย  แต่ท่านก็ทนทำงานหนักเพื่อครอบครัวที่ท่านรัก  ไม่ว่าชีวิตนี้ของข้าพเจ้าจะดำเนินไปอย่างไร  แต่ข้าพเจ้าก็ยังคิดอยู่เสมอว่า  แม่เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับข้าพเจ้า  และแม่เป็นยิ่งกว่าแม่พระ  แม่เป็นยิ่งกว่านางฟ้า  และแม่จะเป็นบุคคลแรกและบุคคลสุดท้ายที่ลูกคนนี้จะคิดถึงทุกครั้ง  ไม่ว่าจะมีสุขหรือมีทุกข์  ลูกคนนี้จะมีแม่อยู่ในใจเสมอ  ให้สมกับความรักที่แม่มีให้ลูกมาตลอด  ลูกคนนี้จะตอบแทนพระคุณท่าน  โดยการตั้งใจเรียนให้จบ  และนำความรู้ที่แม่ได้ส่งเสียให้เรียนจนจบ  ไปหาอาชีพที่สุจริตและหาเลี้ยงตนเองได้  เพื่อที่จะตอบแทนพระคุณของท่าน  ทำให้แม่ท่านหมดห่วงและแม่ของข้าพเจ้าจะได้หายเหนื่อยสักที
          การที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้านี้ได้มีโอกาสเกิดมาเป็นลูกของแม่นั้น  ข้าพเจ้าดีใจ  ประทับใจ  มีความสุข  หรืออาจจะกล่าวเป็นคำพูดไม่ได้เลย  ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า  ข้าพเจ้าโชคดีที่ครั้งหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า  ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่  ไม่ว่าลูกจะมีชีวิตเป็นเช่นไร  ก็ขอให้ลูกได้จดจำพระคุณนี้จนตลอดชั่วชีวิตนี้

นางสาววิภาวรรณ  อุรุชิบารา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  ๖/๒   เลขที่  ๓๗



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เรียกร้องสิทธิ
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 10:56 pm
Filed under: Uncategorized

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เรียกร้องสิทธิ

                 การก่อความไม่สงบของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เป็นการเรียกร้องสิทธิของตนเองคืนมา  จากการกระทำของผู้ไม่บริสุทธิ์ที่อยู่ภายในโรงเรียนของพวกเขา

                ในวันพฤหัสบดีที่  ๑๑  ของเดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๓  เป็นวันที่ข้าพเจ้ามาถึงโรงเรียนในเวลา  ๐๗.๔๙ น.  ซึ่งน่าประหลาดใจมากเมื่อมาถึงโรงเรียน  เพราะเป็นวันที่นักเรียนเข้าแถวเพื่อทำพิธีหน้าเสาธงก่อนเวลา  ๐๘.๐๐ น.  แต่ที่น่าประหลาดใจมากกว่านั้นก่อนตอนที่มาถึงในโรงเรียน  ก็ได้ตกใจเมื่อเห็นนักเรียนของแต่ละระดับชั้น   พากันวิ่งแตกตื่นออกมาจากแถว  แล้วจับกลุ่มกันเป็นจุดๆ ในบริเวณหน้าเสาธง  ตอนนั้นข้าพเจ้าได้แต่ยืนอึ้งอยู่กลางบริเวณหน้าเสาธง  แต่เมื่อเจอเพื่อนก็เลยเดินเข้าไปหาเพื่อน  แล้วก็ร่วมกระบวนการเรียกร้องสิทธิกับพวกเขาเลยซะงั้น  ( แต่ก็รู้เรื่องมาบ้างแล้วแหล่ะ  แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ )  ตอนแรกนักเรียนก็ร่วมมือกันดีและเห็นด้วยกับกระบวนการนี้  แต่ต้องมาโดนครูพวกที่มาขัดขวางมากันตัวเอาไว้   แล้วครูบ้างคนก็ได้ขู่เรื่องเกรดบ้าง  ติด ร บ้าง  และเรื่องอื่นๆอีกสารพัดเรื่อง  จนทำให้น้องๆต้องพากันหวาดกลัวไปตามๆกัน  แต่บางคนก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น  ก็ได้มาร่วมกระบวนการด้วยความสมัครใจ  พอปลุกระดมน้องม. ๔  และม. ๕  ได้แล้วก็มีเพื่อนๆ ม. ๖  บางคนเดินเข้ามาร่วมขบวนด้วย  แต่ก็ใช้เวลานานพอสมควร  พอถึงเวลาที่ต้องบุกเบิกก็ต้องมาเจอด่านที่อยู่หน้าโรงเรียน  โดยทางคณะครูก็ได้นำกุญแจไปปิดประตูไว้ไม่ให้พวกขบวนนี้เคลื่อนตัวออกไปข้างนอกโรงเรียน  โดยการเกณฑ์เอานักศึกษาวิชาทหารมาขวางประตูไว้  แต่ทางเราก็มีกำลังพลเยอะพอสมควรที่สามารถพังประตูออกไปได้  ( ในเวลานั้นก็ได้ยืนดูพวก  ร.ด.  และจะมีนักการภารโรงที่ทางนักเรียนพากันเรียกชายคนนั้นว่า  c-๙  ที่โดนกำลังพลของนักเรียนที่เรียกร้องสิทธิดึงออกมาจากประตูทางเดิน )  เมื่อกลุ่มหนึ่งของกระบวนการนี้ได้ออกมาจากภายในโรงเรียนได้แล้ว  ทางท่านรองผู้อำนวยการซึ่งไม่สามารถที่จะทำการสิ่งใดได้ก็ได้แต่บอกว่า  “ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ”  จากนั้นกระบวนการนี้ก็ได้เริ่มขึ้นที่หน้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  โดยการจัดตั้งเป็นขบวนคล้ายกับขบวนประท้วง  ( แต่อันที่จริงแล้ว  เราไม่ได้ประท้วงแต่อย่างใด  แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิของเราคืนมา )  เมื่อเวลาประมาณ  ๐๘.๕๖ น.  ขบวนได้เคลื่อนย้ายจากหน้าโรงเรียนไปเรื่อยๆจนไปถึงหน้าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนครเขต  ๒  ในระหว่างทางได้มีคำพูดหลายๆคำแทรกออกมาจากในขบวน  เช่นคำว่า  เลอพงษ์-ออกไป , ทวิตตี้-ออกไป , เราทำเพื่อใคร  เป็นต้น  คำพูดทุกคำล้วนออกมาจากปากของนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งนั้น  และก็ได้กำลังจากสามล้อบ้าง  แม่ค้าบ้าง  และผู้ปกครองของเราบ้าง  ที่คอยช่วยเหลือในกระบวนการนี้  พอเดินไปถึงหน้าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนครเขต  ๒  ก็ได้ไปรวกกันเป็นกลุ่มๆ  เพื่อรอท่านรองเขตพื้นที่การศึกษาสกลนครเขต  ๒  และก็มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เข้าประชุมในห้องประชุมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนครเขต  ๒  ด้วย  แต่เหตุการณ์ต่อไปเป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าก็ไม่รู้  แต่ที่รู้มา  ท่านเลอพงษ์  อุทธา  ได้ทำการขอพักราชการเป็นเวลา  ๑๕  วัน  ( เพื่ออะไร )  จากนั้นก็ได้ขี่สามล้อกลับมายังโรงเรียนเหมือนเดิม  เพื่อมาเรียนตามปกติ  และได้รับประทานอาหารฟรี  ซึ่งได้รับอภินันทนาการจากห้องม. ๖/๔  ( เรื่องนี้ห้อง  ๔  เต็มที่  ^^ )  แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าไม่เคยเจอมาก่อนก็คือ  คำพูดที่ได้ยินออกมาจากปากของคุณครูท่านหนึ่ง  ซึ่งได้พูดกับนักเรียนที่ได้เข้าร่วมกระบวนการนี้  โดยเป็นคำหยาบที่ครูที่มีจรรยาบรรณเขาไม่พูดกันหรอก

                ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดี  ( หรือว่าอาจจะยังไม่จบ )  และก็เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่นักเรียนของโรงเรียนนี้ได้ร่วมกันทำขึ้นอย่างไม่คาดฝัน  จนทำให้ผู้ที่โกงกินบ้านเมืองหรือผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ได้รับกรรมที่ตนได้ก่อไว้  ดังสุภาษิตที่ว่า  “ กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นย่อมคืนสนอง ”      

 นางสาวนียเนตร  อิ่มเจริญ  ชั้นม. ๖/๔  เลขที่  ๓๐



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าเคยผ่าตัด
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 5:06 pm
Filed under: Uncategorized

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าเคยผ่าตัด

          ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ชั้น ม.๒ นั้น ข้าพเจ้ามีเนื้องอกเกิดขึ้นที่สุดฟันข้างในปาก ประมาณ ๑ เซนติเมตร ซึ่งหมอบอกว่าเป็นเนื้องอกที่ต่อมน้ำลาย ข้าพเจ้าก็ไม่เจ็บหรอก เพียงแต่เวลาแปรงฟันมันจะเคืองๆเล็กน้อย แม่ข้าพเจ้าพาไปหาหมอฟันที่คลินิก แต่หมอไม่สามารถรักษาให้ได้ และหมอบอกว่าต้องไปรักษาแผนก หู คอ จมูก แม่ข้าพเจ้าจึงพาไปโรงพยาบาลและหมอบอกว่าต้องผ่าตัดเอาออกเพราะปล่อยไว้นานอาจเป็นเนื้อร้ายได้ จากนั้นข้าพเจ้าก็นอนที่โรงพยาบาล ตื่นเช้ามาเขาก็สั่งให้งดน้ำงดอาหาร จากนั้นก็มีพนักงานพาข้าพเจ้านั่งรถเข็นไปเรื่อยๆจนใกล้ถึงห้องผ่าตัด รู้สึกว่าผู้คนตรงนั้นเยอะมากนั่งเรียงกันเป็นแถวเลย ส่วนมากมีแต่ญาติผู้ป่วย ความรู้สึกตอนที่นั่งรถเข็นไปนั้นรู้สึกว่าข้าพเจ้าเหมือนบุคคลสำคัญเลยเพราะมีแต่คนมองมา และทางเดินนั้นก็ไม่มีคนเลย มีแต่พนักงานที่เข็นข้าพเจ้าเข้าไป ข้าพเจ้าจนอดหัวเราะไม่ได้กับเรื่องนี้ พอเข้าไปในห้องเขาก็จัดให้นอนเตียงและจะมีคนมาถามประวัติการแพ้ยาของเรา ข้าพเจ้ามองไปรอบๆก็เห็นคนที่มาเข้าคิวผ่าตัดเยอะเหมือนกัน และพยาบาลก็เปิดเพลงคลายความกังวลด้วย จากนั้นก็ถึงคิวของข้าพเจ้า มีพนักงานมาเข็นข้าพเจ้าเข้าไปในทางเดินเรื่อยๆจนถึงห้องผ่าตัดตอนนั้นข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก บรรยากาศเหมือนในหนังเลย จากนั้นพยาบาลก็วัดความดันโลหิตให้ข้าพเจ้าโดยวัดที่แขนของข้าพเจ้าทั้ง ๒ ข้างเลย มันเป็นเครื่องวัดอัตโนมัติละจะถูกติดไว้จนกว่าจะผ่าตัดเสร็จ และมันจะบีบแขนทั้ง ๒ ข้างของข้าพเจ้าเป็นระยะๆซึ่งมันบีบแน่นมาก หมอยังพูดว่า “คนไข้ฉันตื่นเต้นจังน้อ” แล้วเขาก็เตรียมไฟวงกลมสำหรับผ่าตัด จากนั้นเขาก็ฉีดน้ำเกลือให้ข้าพเจ้า ตอนแรกก็เป็นน้ำเกลือปกติไม่นานหมอก็เอาเข็มฉีดยาฉีดใส่น้ำเกลือ สงสัยว่าจะเป็นยาสลบเพราะตอนที่น้ำเกลือไหลเข้ามาในเลือดของข้าพเจ้านั้นทั้งเย็นทั้งแสบมากๆ ซึ่งข้าพเจ้าก็อดทนไป จากนั้นไม่นานข้าพเจ้าก็รู้สึกเวียนหัวเห็นโลกหมุนของจริงเลย  แต่ก็ไม่มีใครสนใจพูดคุยกับข้าพเจ้าเลย จนข้าพเจ้าถามว่า “หมอคะหนูรู้สึกเวียนหัวจัง” หมอเลยบอกว่า “อ๋อ หมอจะทำให้หนูหลับจ๊ะจะได้ไม่ตื่นเต้นเวลาหมอผ่าตัด” เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนั้นจึงหลับตา นับ ๑-๒-๓ ไปเรื่อยๆ จำได้ว่าข้าพเจ้านับถึง ๔๒ ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว มารู้ตัวอีกทีตอนที่พยาบาลเรียกชื่อและให้ชู ๒ นิ้ว ให้กำปั้น

         จากนั้นข้าพเจ้าก็ถูกนำมาพักที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วยโดยนอนที่รถเข็น ความรู้สึกตอนนั้นแย่มากๆเพราะเขาเข็นข้าพเจ้ามานอนใต้ท้องแอร์ซึ่งทั้งร้อนทั้งหงุดหงิด ทั้งเวียนหัว ข้าพเจ้าอยากจะร้องออกมาดังๆเลยแต่ร้องอย่างไรก็ไม่ออก อยากพูดก็พูดไม่ได้ ขยับแขนขายังไม่ได้เลย  ข้าพเจ้าอยากจะเตะผ้าห่มออกไปจากตัวจริงๆเพราะมันทรมานมาก ข้าพเจ้าพยายามหายใจให้เป็นปกติและมองรอบๆห้องก็เห็นผู้ป่วยที่นอนเหมือนกันกับข้าพเจ้า ส่วนพวกพยาบาลก็คุยกันแต่เรื่องข้าวเที่ยงจะกินอะไรดี ไม่สนใจข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจึงด่าเขาในใจ จากนั้นผ่านไปเขาก็เข็นข้าพเจ้าออกมาจากห้องนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นมากที่ได้หายใจอย่างทั่วท้อง และแม่ของข้าพเจ้าก็เดินตามไปติดๆ ตอนนั้นข้าพเจ้าร้องไห้ทั้งๆที่ไม่ได้เจ็บแผลอะไรเลย ยิ่งแม่ข้าพเจ้าปลอบข้าพเจ้ายิ่งร้อง ไม่รู้เป็นอะไร จากนั้นเขาก็พาข้าพเจ้ามานอนที่ห้องพิเศษ นอนได้ไม่นานข้าพเจ้าก็อาเจียนออกมา จนพยาบาลต้องเปลี่ยนที่นอนและชุดให้ใหม่ จากนั้นแม่ข้าพเจ้าก็เอาน้ำแข็งมาประคบให้ ซึ่งตอนนั้นหมดฤทธิ์ยาแล้วก็เริ่มเจ็บแผล ซึ่งแผลในปากนั้นเจ็บจริงๆกินอะไรก็ลำบาก กลืนไม่ได้เลย แขนข้างหนึ่งก็ถูกฉีดเข้าน้ำเกลือ และแม่ข้าพเจ้าก็เฝ้าดูแลตลอดจนครบ ๑ อาทิตย์จึงกลับบ้านได้ จากนั้น ๒ เดือนก็ไปตัดไหมออก ซึ่งก็หายเป็นปกติในที่สุด

 น.ส.สิริลักษณ์  สมบูรณ์ ชั้น ม.๖/๔ เลขที่๔๔



ความประทับใจ
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 5:01 pm
Filed under: Uncategorized

ความประทับใจ

                กอล์ฟ-ไมค์ เป็นศิลปินที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ และเป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รู้จักกับสองพี่น้องนี้ประมาณ ๔-๕ ปีมาแล้วในนามศิลปินของค่ายแกรมมี่ที่ทุกคนทั่วประเทศก็รู้จักพวกเขาเช่นเดียวกันแต่ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพวกเขาในวันนี้จะเป็นสองพี่น้องกอล์ฟ-ไมค์ในมุมของข้าพเจ้าที่ทุกคนอาจไม่รู้จัก

                กอล์ฟ-ไมค์ สำหรับทุกคนอาจเป็นทั้งศิลปินผู้สร้างรอยยิ้มและความสนุกให้กับคนที่ชื่นชอบหรือบุคคลทั่วไป แต่สำหรับตัวของข้าพเจ้าเขาทั้งสองพี่น้องเป็นบุคคลที่เข้ามาสร้างความสุขให้ข้าพเจ้าในยามที่ชีวิตสับสนและไม่มีทางออก คือข้าพเจ้ารู้จักเขาในนามของนักร้องคู่ดูโอตอนที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ตอนนั้นเป็นตอนที่ครอบครัวของข้าพเจ้ากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรงคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยดีได้หายไปจากครอบครัวของข้าพเจ้าหมดและมีปัญหาที่เลวร้ายมากเกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้า และเป็นปัญหาที่เลวร้ายเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะรับมันได้จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้าปรึกษาใครเลยแม้กระทั่งแม้แท้ๆของตน  จนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้พบกับสองพี่น้องกอล์ฟ-ไมค์ในรายการทีวี ก็รู้สึกว่าเขาทำให้เรายิ้มได้แม้จะเป็นการพบแค่ในโทรทัศน์ไม่ใช่ตัวจริงจึงทำให้ข้าพเจ้าติดตามผลงานของเขามาตลอดและเอาเขาทั้งสองมาเป็นกำลังใจ แรงบันดาลใจและที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในยามที่ชีวิตเก็บกดที่สุดพวกเขาคือคนที่สร้างรอยยิ้มให้กับข้าพเจ้าได้  ตลอดระยะเวลา ๓ ปีที่ข้าพเจ้าเก็บปัญหาเหล่านั้นไว้กับตนเอง สิ่งที่ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความสุขได้คือซีดี,อัลบั้ม,คอนเสิร์ต ของพวกเขา   ที่ทำงานเพื่อแลกเงินค่าขนมแล้วหยอดกระปุกไว้ซื้อ  จนบางครั้งเคยคิดว่าเราหาเงินมายากลำบากมากแต่ทำไมเราไม่เก็บไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นแต่ก็จะมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจเสมอว่า “เราซื้อความสุขให้กับตัวเองนะ”บางครั้งก็คิดว่าเราตั้งข้ออ้างขึ้นมาเองหรือเปล่า แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ซื้อและติดตามผลงานของพวกเขามาตลอด เวลาที่ข้าพเจ้าทำงานต่างๆเสร็จแล้วก็จะมานั่งดูผลงานของพวกเขา ดูจนจำได้แทบทุกตอนทุกคำพูดแต่ก็ดูอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา  ซึ่งทุกคนในครอบครัวจะถามว่าไม่เบื่อบ้างหรือ แต่หนูก็ตอบไปว่า จนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้เล่าปัญหาทั้งหมดให้แม่ฟัง  และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้าพเจ้ากำลังจะจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ข้าพเจ้าจึงบอกกับแม่ว่าไม่สามารถอยู่บ้านเดียวกันเป็นครอบครัวได้ จึงขอแม่ไปเรียนไกลบ้านแม่ก็ค่อนข้างเข้าใจ ถึงคนอื่นจะไม่เข้าใจแต่แม่ก็ช่วยหนูทุกวิถีทางเพื่อจะให้หลุดพ้นจากขุมนรกนั้น จนทำให้หนูได้มาศึกษาต่อที่โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และได้เจอกับรุ่นน้องที่หอพักซึ่งชอบกอล์ฟ-ไมค์เหมือนกัน น้องเขามีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของกอล์ฟ-ไมค์ แต่หนูไม่เคยไปเลยเพราะไม่กล้าขอแม่จนวันหนึ่งน้องเขาส่งชิงโชคเพื่อจะหาบัตรคอนเสิร์ตให้หนูได้ไปดูจนในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ไป ข้าพเจ้าใช้เวลาตัดสินใจนานมากที่จะขออนุญาตแม่เพราะคิดว่าแม่คงไม่อนุญาตแน่นอน แต่แม่กลับอนุญาตทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก พอถึงวันก่อนคอนเสิร์ตเริ่มข้าพเจ้านอนแทบไม่หลับเพราะดีใจมาก พอถึงวันคอนเสิร์ตข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมาก ข้าพเจ้าได้โฟโต้บุ๊คพร้อมลายเซ็นของกอล์ฟ-ไมค์ และได้เสื้อของพี่เขาที่โยนลงมาจากเวที คอนเสิร์ตครั้งนั้นเป็นความประทับใจที่สุดในรอบหลายปีของชีวิต ทุกวันนี้ความประทับใจนั้นไม่เคยจางหายจากความทรงจำของข้าพเจ้าเลย

                ใครหลายคนอาจบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่ควรสนใจ ควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้แต่ในบางครั้งที่ชีวิตของเราเลวร้ายไร้ทางออก สิ่งที่ไร้สาระเหล่านี้แหละที่สร้างรอยยิ้มให้กับเราได้

 นางสาวสิริลักษณ์  คำอุดม  เลขที่ ๔๑  ม. ๖/๒



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 4:56 pm
Filed under: Uncategorized

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

                ชีวิตของเด็กบางคนอาจคิดว่าเป็นช่วงชีวิตที่เด็กร่าเริงสนุกสนานไม่มีเรื่องต่างๆที่ไม่ดีมารบกวนจิตใจของเรา แต่ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน เนื่องจากข้าพเจ้าได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ ๑๒ ปีและเท่ากันกับอายุของเด็กคนนั้น ข้าพเจ้าได้คลุกคลีกับชีวิตของเด็กคนนั้นมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอยากให้กำลังใจกับคนอื่นๆมาก เพราะถึงแม้ชีวิตคนเราจะเจอกับเรื่องเลวร้ายมากสักเพียงใดแต่ยังมีคนที่รักเราเสมอ

                ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เจอและรู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งและได้รู้เรื่องราวต่างๆมากมายของเขา ข้าพเจ้าจึงอยากนำมาเขียนเพื่อบางทีบางอย่างอาจทำให้ผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้ได้รู้ว่าคนที่แน่กว่าเรานั้นก็มีอยู่ และเขาก็สามารถอยู่ได้เพราะอะไรนะหรือถ้าเพราะความรักจากแม่และคนที่เขารักนั้นเอง เขาเล่าว่าตอนที่เขาอายุ ๑๒ ปี บ้านเกิดปัญหามากมายเขามีปัญหากับพ่ออย่างหนัก เขาเกลียดพ่อและญาติของพ่อเขามากเขาอยากย้ายโรงเรียน อยากหนีออกจากบ้าน อยากฆ่าตัวตาย แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราหลายปัจจัย เขาจึงยอมทนอยู่๔ในบ้านหลังนั้นต่อไปด้วยความทรมานทุกวินาทีที่มีลมหายใจ เขารู้สึกว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็นแต่ก็นึกในใจเสมอว่ามันอาจเป็นเวรกรรมในอดีต จนวันหนึ่งเขาได้ตัดสินใจปรึกษาแม่และแม่ก็คอยแก้ปัญญา ให้กำลังใจเขามาตลอด ทั้งๆทีเขาก็รู้ดีว่าแม่เป็นคนกลางระหว่างลูกกับสามีที่มีปัญหากันจนไม่มีวันที่จะสามารถกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อีก แม่ของเขาคงจะทรมานมากกว่าหลายร้อยพันเท่า แม่นอนร้องไห้ทุกคืนซึ้งก็ไม่ได้แตกต่างกับเขาเท่าใดนัก จนมาวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นก็กำลังจะจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ซึ้งเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตเขา เขาอยากย้ายโรงเรียนที่ไกลจากบ้านและไม่ได้กลับบ้านทั้งๆที่ใจนั้นก็คิดถึงแม่กับน้องมาก แต่เขาก็เลือกที่จะออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยที่แม่ก็เข้าใจ แต่ซ้ำร้ายกับชีวิต แม่ของเธอดันตั้งท้องอ่อนๆซึ้งมันทำให้เขาจะต้องอยู่ที่โรงเรียนเดิม เพราะต้องเก็บเงินไว้สำหรับเลี้ยงดูเด็กที่กำลังจะเกิดมา พอเขารู้ข่าวนี้เขาอยากกลั้นใจตายตรงนั้นแต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อแม่ของเขาตัดสินใจทำแท้ง เพื่อที่จะส่งเขาเรียนในที่ที่เขาอาจจะไม่ทรมานเหมือนกับที่อยู่ทุกวันนี้ ซึ้งแม่ของเขาก็รู้สึกแย่มากส่วนตัวของเขาก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันรู้สึกบาปไปตลอดชีวิต ซึ้งเธอเล่าว่าถึงเธอจะได้ไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านต้องอยู่หอพัก เพื่อหนีปัญหาต่างๆ แต่มันก็ไม่เคยทำให้เธอมีความสุขได้นานถึง ๕ นาทีที่อยู่คนเดียวในวันหนึ่งๆ สิ่งที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกเลวร้ายของเขาได้ในแต่ละวันคือเพื่อนๆ ความรักจากแม่และความที่เป็นห่วงน้อง เขาจึงพยายามตั้งใจเรียนถึงแม้จะเรียนไม่ค่อยได้แต่ในวันนี้ สิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุดคือ เขาสามารถสอบติดมหาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน อาชีพที่ใฝ่ฝันเพื่อที่จะมาเป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น และมาดูแลแม่ส่งน้องเรียนในอนาคตถึงแม้เงินที่ส่งเขาเรียนในปัจจุบันคือเงินของสามีแม่คนที่เขารังเกียจที่สุดในชีวิตแต่เขาก็ต้องยอมใช้มันเพราะชีวิตของเด็กอายุแค่นั้นจะมีทางเลือกอะไรมากมายให้เขาเลือก และเขาสามารถถึงจุดจุดนี้ได้ทั้งๆที่คิดฆ่าตัวตายในหลายๆครั้งถ้าเพรากำลังใจจากแม่และน้องของเขา เรื่องที่ข้าพเจ้าได้เล่าไปนี้อาจเป็นกำลังใจให้กับหลายคนที่คิดว่าชีวิตช่างเลวราย แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่มีชีวิตที่เลวร้ายกว่าเราก็มีอยู่มาก

                ดังนั้นเราควรมองย้อนกลับไปมองตัวเราว่าชีวิตเราแย่ที่สุดแล้วหรือและพยายามใช้ปมด้อยหรือปัญหาในชีวิตของเราเปลี่ยนมาเป็นกำลังใจเพื่อเป็นแรงผลักดันในชีวิตให้ก้าวเดินต่อไปเพื่อตัวเรา เพื่อคนที่เรารักและคนที่รักเรา อย่าชีวิตที่มีค่าของเราไปทำให้สิ้นค่าเพียงเพราะว่าความเลวของสิ่งมีชีวิตที่ใครๆก็เรียกกันว่า‘คน’

 นางสาวสิริลักษณ์  คำอุดม  เลขที่ ๔๑  ม. ๖/๒



ความประทับใจในชีวิตของฉัน
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 4:53 pm
Filed under: Uncategorized

ความประทับใจในชีวิตของฉัน

 เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ก่องช่วงสอบ GAT-PAT ครั้งที่ ๒ ดิฉันไปเจอข่าวรับสมัครติดก่อนสอบ GAT-PAT ที่จังหวัดขอนแก่น ดิฉันก็ได้มาประกาศข่าวการรับสมัครติว GAT-PAT กับเพื่อนๆที่อยู่ให้ห้อง เพื่อนๆต่างสนใจการติว GAT-PAT ครั้งนี้มาก เพราะก่อนหน้านั้น ๒ อาทิตย์ สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งประเทศไทย(สทศ.)ได้ประกาศผลสอบ GAT-PAT รอบที่ ๑ ต่างคนต่างก็ผิดหวังกับคะแนนที่ไม่เข้าเป้าหมายที่วางไว้

                ต่อจากนั้น หลังจากที่ได้สมัครเสร็จเรียบร้อย พวกดิฉันก็คิดว่า “พวกเราจะไปกันยังไง”คิดอยู่นานสองนานก็มี น.ส.คนหนึ่ง เสนอความคิดเห็นว่า เราไปรถไฟฟรีกันดีไหม ? เพื่อนก็ต่างเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยส่วนดิฉันกับเพื่อนอีกสองคน ก็ต่างเห็นด้วยที่จะขึ้นรถไฟฟรี เพราะตั้งแต่เกิดมาพวกดิฉัน ก็ไม่เคยขึ้นรถไฟเลยกันสักคน… แล้วพวกดิฉันสามคนก็พยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนที่เหลือให้ขึ้นรถไฟกับพวกดิฉันในครั้งนี้ เพราะพวกดิฉันคิดว่า นี่คือการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ “ได้นั่งรถไฟผจญภัยกับเพื่อน” ว้าว ว ว (คิดในใจ)น่าสนุกมาก แค่คิดภาพก็สนุกแล้ว แต่เพื่อนๆที่เหลือก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี เอาหล่ะไปสามคนก็สามคน ^^

                แล้ววันนั่นก็มาถึงดิฉันไม่ไปโรงเรียนเลย ตื่นเต้นมาก จะได้ขึ้นรถไฟ… ประมาณบ่ายๆกว่า ดิฉันกับเพื่อนอีกสองคนก็เดินทางไปอุดร ขณะที่เดินทางดิฉันก็ยังคงจินตนาการถึงการขึ้นรถไฟในครั้งนี้ ขึ้นรถไฟครั้งแรกในชีวิต และแล้วดิฉันกับเพื่อนๆก็ถึงอุดร จากนั้นพวกดิฉันกับเพื่อนอีก ๒ คน ก็มุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟอุดรธานี  ว้าว วว ว ว  สถานีรถไฟ ดีใจมากๆ หลังจากนั้นดิฉัน ดิฉันก็ไปถามคุณลุงคนหนึ่ง ว่า ถ้าพวกหนู จะขึ้นรถไฟฟรีต้องทำยังไงค่ะ ? คุณลุงเขาก็ตอบว่า มันต้องมาตอนตี ๕ ไม่งั้นก็ ๔ ทุ่มกว่าๆจ๊ะ แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะ ๑๗.๓๐ น. ดิฉันและเพื่อนอีกสองคน จึงคุยกันว่าเราจะเอายังไงดี จะรอถึง ๔ ทุ่มไหม ? หลังจากนั้นไม่กี่วินาที พวกดิฉันก็ตัดสินเดินไปซื้อตั๋วรถไฟในราคา ๒๕ บาท จากนั้นเวลา ๑๘.๓๐ น. ดิฉันกับเพื่อนอีกสองคนก็ได้ก้าวขึ้นรถไฟสักที อู้ย_ ย ขึ้นรถไฟ คนเต็มรถไฟเลยไม่มีที่นั่ง ตาย ตาย ตาย ไม่มีที่นั่ง ยืนแบบไม่มีที่นั่งสักพักพวกดิฉันก็เหลือบไปเห็นที่นั่งว่างอยู่ พวกดิฉันก็มุ่งหน้าไปที่ว่างนั้น แล้วก็นั่งลง หลังจากนั้นประมาณ ๑๕ นาที ก็มีผู้หญิงตัวเตี้ยๆหน้าโหดๆ ไม่สวยด้วยนะ วัยกลางคนเดินมาตรงที่พวกดิฉันนั่ง แล้วก็มาพูดว่า นี้มันที่ฉันนะ !!พวกดิฉันถึงกับ งง แล้วก็ลุกพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมายแล้วพวกดิฉันก็ไปนั่งที่นั่งใหม่ รถไฟก็ออกพอดี พวกดิฉันก็กรี๊ด ด ดด รถไฟออกแล้ว ทุกคนที่อยู่บนรถไฟต่างก็มองพวกดิฉันทั้ง สามคน ไม่แคร์ พวกดิฉันไม่แคร์

ไม่แคร์สื่อใดๆ ^^ จากนั้นพอถึงขอนแก่น ตอนนั้นเวลาปาเข้าไป ๓ ทุ่มกว่า โอ้พระเจ้าองชั่วโมงกว่า รถไฟวิ่งช้ามาก ตอนนั้นรถสายหมด ทำไงดีหล่ะ คราวนี้ เราจะไปที่พักกันยังไง  คิดอยู่นาน เพื่อนสาวก็พูดขึ้นมาว่า มีเพื่อนที่เขาช่วยเราได้ เพื่อนสาวดิฉันจึงโทหาเพื่อนชายของเค้าให้มารับ จากนั้นพวกดิฉันก็รอ ต่อมาเพื่อนชายก็โผล่มา โผล่มากับรถมอเตอร์ไซด์ ๑ คัน  จะไปกันยังไง! รถ ๑ คัน กับคนอีก ๓ คนพร้อมข้าวของ จากนั่งพวกดิฉันก็หาทางไปกันจนได้ด้วยรถมอเตอร์ไซด์คันนั้น ฝนตกปอยๆ ผู้หญิง ๓ คน กับรถมอเตอร์ไซด์ กว่าจะถึงที่พักก็ปาไป เที่ยงคืนกว่า เพราะว่า เราหลงทาง พอถึงที่พักพวกดิฉันหมดแรงเหนื่อยล้า พวกดิฉันต่างมุ่งหน้าเข้าหาเตียงแล้วนอนในสภาพที่เปียกชื้นกันทุกคน

                พอรุ่งเช้าพวกดิฉันกับเพื่อนๆก็ตื่นขึ้นมากับอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวกันทุกคน แล้วก็ขี้รถไปที่ติว คนเยอะมากๆ วกดันไปช้า ไม่ถึงกับช้าหรอกแต่คนเยอะมาก มันเลยส่งผลให้ดิฉันนั่งหลังสุด หลังมาก จนทำให้มองไม่เห็น ไม่มีกำลังใจเรียน ลั๊น ลา   ไม่เรียนดีกว่า ออกไปหาไรกินก่อนแล้วค่อยเข้ามาเรียนต่อหล่ะกัน

เพื่อนสาวของฉันโทรหาพี่สาวของเขา พี่สาวของเขามารับพวกดิฉันไปเลี้ยงข้าว ฝนตกหนัก พี่สาวเขาเลยพาไปที่ร้านเกมส์ที่พี่เขาทำงานอยู่ ไม่มีคนไปส่งพวกดิฉันไปเรียน  เลยตามเลยก็เลยนั่งเล่นเกมส์อยู่ร้าน จน ๓ ทุ่มกว่าๆ

พี่สาวเลิกงานเลยพาไปเที่ยว เลยตามเลย เที่ยวก็เที่ยว ทั้งๆที่ตัวเปียกอีกวัน พอเที่ยวเสร็จก็กลับที่พักนอน พอรุ่งเช้าก็ตื่น มันไม่รุ่งเช้าหรอกค่ะ ตื่นมาก็สายมากแล้ว พวกดิฉันก็เลยเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนกลับพวกดิฉันต้องเอารถไปคืนเพื่อนชายซะก่อน การเดินทางเอารถไปคืนเพื่อนชายนั่นก็เป็นอะไรที่ลำบากมาก เจอทั้งตำรวจ เจอทั่งใบสั่ง เจอทั้งแดด หลงทางอีก กว่าจะถึง พอถึงเพื่อนชายของฉันยังเมาค้างไม่สามารถมาเอารถตรงที่จุดนัดหมายได้ ดิฉันกับเพื่อน ๒ คน ก็เลยบอกเพื่อนสาวของดิฉันให้เอารถไปคืนเพื่อนชายซะ เดี๋ยวพวกฉันจะไปเอาของที่พักแล้วไปเจอกันที่สถานีรถไฟ จากนั่นไม่นานเพื่อนดิฉันอีกคนก็ไปถึงสถานีรถไฟแล้วก็โทมาบอกว่า รถไฟกำลังจะออก ดิฉันกับเพื่อนดิฉันก็เลยต้องตกรถไฟอีกรอบ ก็เลยโทหาพี่สาวว่าตกรถทำยังไงดี พี่สาวก็เลยพาไปสถานีขนส่งเพื่อจะให้พวกดิฉันขึ้นรถโดยสารกลับแทนรถไฟ แต่รถหมด! พวกดิฉันก็เลยตามเลยนอนขอนแก่นอีกคืนแล้วก็ได้เที่ยวอีกคืน

                เช้าตรู่.. ดินฉันกับเพื่อนตื่นขึ้นอาบน้ำไปสถานีรถไฟตอนตี 5 รถไฟก็ออกขณะที่เดินทางอยู่นั้นพวกดิฉันก็หลับ แล้วก็ สะดุ้ง สามสี่รอบเพราว่า รถไฟดับ การเดินทางกลับครั้งนี้ ใช้เวลาเกือบๆ 4 ชั่วโมง  เพราะว่ารถไฟดับตลอดทางเลย แล้วพอถึงอุดรก็ต่อรถกลับมาที่สว่างแดนดิน

                การเดินทางที่หน้าจดจำก็จบลง พร้อมกับคำด่าของแม่หลายต่อหลายคำเมื่อถึงบ้าน ^^



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวกับครอบครัว
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 4:51 pm
Filed under: Uncategorized

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวกับครอบครัว

 ในปกติการทองเที่ยวเป็นสิ่งที่ทุกคนฝันหา และอยากจะไปพักผ่อน แต่เนื่องจากคนส่วนมากนั้นมักจะไม่มีเวลาที่จะไป เพราะติดงาน ติดธุระ ต่างๆ นานา แล้วแต่เหตุผลของแต่ละคน แต่เมื่อมีโอกาสได้ไป สมาชิกกลับไม่ครบเสียย่างนั้น แต่ข้าพเจ้ากลับเป็นผู้โชคดีคนหนึ่ง เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสไปเที่ยวกับครอบครัว

ช่วงปิดเทอมในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เดินทางไปทำบุญที่จังหวัดเลยอีกครั้ง โดยสถานที่ไปในครั้งนี้คือ ภูเรือ ตลอดเส้นทางของการเดินทางนั้นอยากจะบอกมากเลยว่า ธรรมชาติล้วนๆ ทั้งสองฝั่งข้างทางห้อมล้อมไปด้วยภูเขาที่เขียวขจี ถนนหนทางที่ลาดชัน คดเคี้ยว ทำให้มารดาของข้าพเจ้านั้นเกิดอาการเมารถอย่างรุนแรง ข้าพเจ้าได้ช่วยหายาดม ยาอม ยาหม่อง ถุงพลาสติกให้ท่านแทบไม่ทัน เพราะในความรู้สึกนั้นกลัวว่ามารดาจะเป็นลม ทั้งขำตัวข้าพเจ้าเองที่กลัวว่ามารดาจะหันมาอาเจียนรด เพราะถนนที่คดเคี้ยวนั่นเอง

เมื่อเดินทางถึง บิดา มารดา น้องชาย หลานชาย น้าชาย ๒ คน น้าสาว ๒ คน คุณยาย คุณปู่และตัวข้าพเจ้าเอง ก็ลงมาจากรถ เหล่าข้าพเจ้าเดินทางไปถึงที่ภูเรือตอนประมาณ ๐๗.๐๐ น. บนภูเขาในช่วงเวลานั้นอากาศดีสุดยอด น้ำค้างที่ตกอยู่บนหญ้าทำให้รู้สึกเย็นสบาย เพราะความชื้นในตอนเช้าจากธรรมชาติ และเมื่อมองดูธรรมชาติที่มีสีเขียวทำให้รู้สึกสบายตา จิตใจสงบ ภาพเหล่านั้นช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง

จากนั้นทุกคนก็เริ่มภารกิจแรก ก็คือ รับประทานอาหารเช้า เหล่าข้าพเจ้าได้เตรียมกับข้าวมาจากบ้านที่อยู่บริเวณแถบชานเมือง เพราะเกรงว่าหากซื้ออาหารจากข้างนอกอาจจะไม่อร่อย ไม่ใช่เพราะความงกหรอกนะคะ และกับข้าวมื้อนั้นเป็นมื้อที่พิเศษที่สุด เพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะทุกคนในครอบครัวได้ร่วมกันรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อันที่จริงข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่า เพราะไม่ได้ซื้อกับข้าวนั่นแหละค่ะ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ แม่ค้า          ล็อตเตอรี่ก็เดินทางมายังกลุ่มที่พักของเหล่าข้าพเจ้า บรรดามารดา คุณยายและน้าสาวทั้ง ๒ คน ก็ต่างระดมซื้อล็อตเตอรี่กันอย่างขะมักเขม้น ทำให้ข้าพเจ้า บิดาและครอบครัวในส่วนที่เหลือมองหน้ากันและยิ้มแบบแหยะๆ ในความคิดส่วนลึกของข้าพเจ้าคิดว่า ก็คงเป็นเรื่องจริงที่คนไทยเกิดมาคู่กับการเสี่ยงโชค หลังจากซื้อล็อตเตอรี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางจากที่พักไปกราบพระ จากนั้นสายตาของข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นเซียมซี เลยไปเสี่ยงเซียมซีลองดู เห็นไหมละคะที่ว่าคนไทยเกิดมาคู่กับการเสี่ยงโชคจริงๆ และนั่นก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกคน และก็ได้มาด้วยหมายเลขที่ ๒๐ จึงไปหยิบใบทำนายมา พบว่าเป็นใบทำนายที่ดีที่สุดที่ข้าพเจ้าได้มา ในนั้นส่วนสำคัญหลักๆที่ข้าพเจ้า    จำได้ บอกว่า การเรียนจะประสบความสำเร็จ และที่สำคัญที่พลาดไม่ได้คือ ร่ำรวยเงินทอง อันนี้ข้าพเจ้าประทับใจมาก อยากจะหัวเราะแบบไม่กักเก็บความเป็นกลุสตรีไทยเอาไว้เลยค่ะ  จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นช่างถ่ายภาพจำเป็นโดยข้าพเจ้าเต็มใจนิดนึง วันนั้นที่ไปดอกไม้หลากสีสันกำลังบานเบิกช่างสวยงามเสียกระไรนี่ จากนั้นก็เดินทางชมบรรยากาศรอบๆ โดยเก็บภาพไปด้วย ได้มีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์กันในครอบครัวแบบเต็มอิ่ม จากนั้นก็เดินทางกลับไปยังบ้านที่อยู่บริเวณแถบชานเมือง และวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับความสุขที่ได้รับจากครอบครัว และธรรมชาติ รวมทั้งรู้สึกอิ่มบุญเป็นอย่างยิ่ง

การที่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเที่ยวกับครอบครัว เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะนอกจากที่จะได้รับประสบการณ์ ยังสามารถที่จะได้รับความอบอุ่นแบบสามารถเปรียบเทียบได้ว่าแทบยิ้มไม่หุบเลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีความหลากหลายในวัย ทำให้เกิดการร่วมแบ่งปัน และกลั่นกรองประสบการณ์ของแต่ละบุคคล โดยถ่ายทอดออกมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้สามารถเข้าถึงความเป็นคำว่า “ครอบครัว”

 นางสาวศศิธร ไชยแสง

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๔ เลขที่ ๔๑

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ปีการศึกษา ๒๕๕๒

รุ่นปิ่นเอกทศ



การเป็นนักเรียนจิตอาสา
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 4:48 pm
Filed under: Uncategorized

การเป็นนักเรียนจิตอาสา

             นักเรียนจิตอาสาเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ และอยากที่จะไปสัมผัสกับงานหรือสาขาที่ตนเองเลือกเอาไว้ ว่าสาขาที่เรากำลังจะเลือกเรียนต่อในระดับอุกมศึกษา ในมหาวิทยาลัยต่างๆ มีความเป็นไปได้มากแค่ไหน ที่เราเรียนจบแล้ว เราสามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ตนเองได้ศึกษามาได้

        ในขณะนั้นผมซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาที่ ๕ พอดีเป็นช่วงที่ใกล้จะปิดเรียน ในภาคเรียนที่ ๑ เพื่อนๆ หลายคนเลือกที่จะไปเรียนกวดวิชาต่างๆ เพื่อเพิ่มความรู้และเตรียมตัวสำหรับการสอบในอนาคต ส่วนตัวผมแล้วผมก็อยากไปเรียนกวดวิชากับเพื่อนๆ  อยู่เหมือนกัน แต่เนื่องด้วยผมมีปัญหาเรื่องการเงิน ผมก็เลยไม่ได้ไปเรียนกับเพื่อนๆ แต่มีคุณครูห้องแนะแนวมาแนะนำ ว่าถ้าใครสนใจที่จะไปฝึกงานที่โรงพยาบาล ให้มาลงชื่อ และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในเวลานั้นผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาส ไปสัมผัสงานในโรงพยาบาล ผมไม่รอช้ารีบไปลงชื่อ เพื่อไปช่วยงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพยุพระราชสว่างแดนดิน หลังจากนั้นทางโรงเรียนก็ได้ดำเนินการทำเรื่องขอให้เด็กนักเรียนไปศึกษางานในโรงพยาบาลในช่วงปิดเรียน และได้รับการอนุมัติมา โดยให้นักเรียนเริ่มไปศึกษางานได้ในทันที่ ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยงานในโรงพยาบาลในครั้งนี้

            วันนั้นเป็นวันพุธ ทุกคนที่อาสาไปช่วยงาน แต่ละคนดูตื่นเต้นมากเลย โดยเฉพาะตัวผมเอง ซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียวที่อาสามาช่วยงาน และยิ่งน่าตื่นเต้นมาก เพราะว่าพี่หัวหน้าพยาบาลเดินเข้ามาทักทาย และให้แต่ละคนแนะนำตัว ซึ่งผมก็เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ให้แบ่งกลุ่มกัน เพื่อแยกไปปฏิบัติหน้าที่แต่ละตึก กลุ่มของผมไปเริ่มงานที่ตึก อุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นตึกแรก ซึ่งตึกนี้มีเรื่องที่ทำให้ผมตื่นเต้นอยู่บ่อยๆ เพราะว่าได้ดูการล้างแผล การเย็บแลผ่าตัด และได้เห็นคนที่ได้รับอุบัติเหตุ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตกต้นไม้ เพดานทะลุ รถชนเป็นแผลเลือดท่วมตัว โดนฟันที่หัวเป็นแผลยาว  สารพัดที่จะบรรยาย นึกแล้วก็น่าเห็นใจพี่พยาบาลทุกคนนะครับ ไม่มีเวลาได้พักเลย ในหนึ่งชั่วโมงผมนั่งนับผู้ป่วยที่มารักษาแทบจะจำไม่ได้ว่ามี่กี่คน เพราะเยอะจนนับไม่ไหว ผมได้ลองล้างแผลให้กับคุณป้า ที่เป็นเบาหวานที่เท้า ตอนแรกก็กลัวนะครับ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกชินครับ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเลย พี่พยาบาลยังชมนะครับว่า ทำไมทำแผลเก่งจังเลย ชมผมซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้ผมก็เขินครับ จนทำอะไรไม่ถูกเลย ในบรรดาตึกผู้ป่วยที่ผมได้ไปสัมผัสมา ผมพูดได้เต็มปากเลยครับ ว่าผมชอบตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินมากที่สุด ทั้งพี่พยาบาลก็ให้ความเป็นกันเอง ชี้แจงอุปกรณ์ต่าง ๆ และรวมไปถึงการให้ลงมือปฏิบัติด้วยครับ

            การเป็นนักเรียนจิตอาสาในครั้งนี้ ก็ใกล้จะถึงวันสุดท้ายแล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ พี่หัวหน้าพยาบาล ก็พาพวกเราไปช่วยงานรับบริจาคโลหิต ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอสว่างแดนดิน วันนั้นผู้คนมารับบริจาคโลหิตเยอะมากครับ ทำเอาผมเพลียมาก ๆ เลยครับ แต่ก็สนุกนะครับ และรู้สึก อิ่มอก อิ่มใจมากเลยครับ ที่ผมได้รับโอกาสดีๆ จากทางโรงเรียน ผมทำหน้าที่นำเลือดไปส่งให้คุณหมอตรวจอีกทีครับ บางครั้งก็เป็นผู้ช่วยหยิบจับอุปกรณ์ ในการเจาะเลือดต่าง ๆ มีพี่พยาบาลคนหนึ่งดูเหมือนท่านเอ็นดูผมมากครับ ที่เห็นผมทำงานอย่างขะมักเขม้น จนผมลืมไปทานอาหารกลางวันครับ พี่พยาบาลก็ชวนผมไปทานอาหาร และยังให้ขนมและนมกล่องตั้งหลายกล่อง ท่านเป็นสาธารณสุข ประจำอยู่ที่ จังหวัดสกลนครครับ ในตอนเย็นหลังจากรับบริจาคเลือดเสร็จ ผมก็อยู่ช่วยพี่พยาบาลเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วย  พี่พยาบาลก็ชวนผมไปกินเลี้ยงในตอนเย็นด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะว่าผมต้องรีบกลับบ้าน พี่พยาบาลก็เข้าใจ และผมกับเพื่อน ๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

            การทำงานวันสุดท้ายของพวกเรา ดูเหมือนทุกคนจะดูเศร้ามากครับ เพราะว่าการมาเป็นนักเรียนจิตอาสา ดูเหมือนว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมประจำวันของพวกเราแล้ว เมื่อพวกเราทำงานเสร็จ เราดูไม่ร่าเริงเท่าใดนัก พี่พยาบาลหลายคนก็เข้ามาปลอบและมาอวยพรให้พวกเราทุกคนได้กลับมาทำงานที่นี่อีก แต่ไม่ใช่ในฐานะนักเรียน แต่เป็นฐานะ เจ้าหน้าที่หรือนางพยาบาล และเราก็จะได้มาทำงานร่วมกันอีก และเราก็จะเดินตามความฝันของเราต่อไป

            การเป็นนักเรียนจิตอาสาในครั้งนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย ทำให้ผมได้รู้ว่า ทุกวินาทีมีค่ามากสำหรับบางคน เมื่อเราผิดนัดแค่เสี้ยววินาที ก็อาจจะทำลายชีวิตของผู้ป่วยได้หลายคนที่เดียว มิฉะนั้นแล้ว เราควรใช้เวลาทุกวินาที ที่เรามีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

นายเกรียงไกร แสงวิเศษ ชั้น ม.๖/๔  เลขที่ ๑



ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าพิชิตภูกระดึง
กุมภาพันธ์ 25, 2010, 4:43 pm
Filed under: Uncategorized

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ข้าพเจ้าพิชิตภูกระดึง

 “ดินแดนแห่งสายหมอกและดอกไม้บาน” คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก ภูกระดึง ภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ความสวยงามตามธรรมชาติ บวกกับความท้าทายในการเดินขึ้นเขาเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศมาสัมผัสการผจญภัยครบรสที่ภูกระดึง

เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว เพื่อนๆชาว๔/๑ได้ตกลงกันว่าจะไปภูกระดึง  และเมื่อถึงวันที่ตกลงกันไว้พวกเราเริ่มเดินทางตั้งแต่หัวค่ำ  เมื่อถึงที่ตีนภูเวลาก็ประมาณตี๔ เห็นจะได้ ก็เลยกางเต้นท์นอนรอเวลาที่เจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ขึ้นภูกระดึงได้  โดยทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา ๑๗.00 – ๑๔.00 น. ของทุกวัน แรกเริ่มที่ทุกคนเดินขึ้นภูกระดึงดูตื่นเต้น ยิ้มแย้มและสดใสกันทุกคน  ซึ่งการเดินขึ้นภูกระดึงนี้เราต้องเดินประมาณ ๕ กิโลเมตรโดยที่ทางเดินทำมุม ๔๕ องศากับพื้นราบ  2 กิโลแรกผ่านไปเริ่มเหนื่อย ข้าพเจ้าจึงขอนั่งพักก่อนเมื่อเดินไปถึงจุดพักนักท่องเที่ยวซึ่งตรงนั้นมีอาหารและเครื่องดื่มขาย  นักท่องเที่ยวชาวเตรียมอุดมฯก็พักรับประทานอาหารกันที่นั่น  การเดินทางแสนเหนื่อยแต่ก็ไม่ถึงกับทุลักทุเลมากเพราะทางอุทยานจัดให้มี “ลูกหาบ” ไว้บริการนักท่องเที่ยว  โดยลูกหาบนี้จะขนสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปไว้บนยอดภูให้โดยคิดราคาตามน้ำหนักของสัมภาระ  เมื่อข้าพเจ้าเดินขึ้นมาได้ ๕กิโลเมตรแล้วทางเดินจะเป็นทางราบซึ่งต้องเดินต่อไปอีก ๓-๔ กิโลเมตรเพื่อไปที่พัก  ซึ่งข้าพเจ้าใช้เวลาในการเดินทั้งหมดเกือบค่อนวัน  ซึ่งตอนนั้นก็บ่ายคล้อยแล้ว  ตกเย็นอาหารเย็นเป็นข้าวราดแกงจานละ ๕๐ บาท  เห็นราคาแล้วไม่อยากจะกินกันเลยทีเดียว  ของทุกอย่างที่ขายอยู่บนภูนั้นราคาแพงมาก  เทียบกับราคาปกติแพงกว่าถึงเท่าตัว  ของที่ขายอยู่บนภูนั้นแทบจะมีทุกอย่าง เช่น ขนมนมเนย  เครื่องดื่มชูกำลัง  ถ่าน  ฟิล์ม  เมมโมรี่การ์ด  รวมถึงสายกีต้าร์  และอีกมากมายแต่ราคานั้นเท่ากับราคาปกติคูณ ๒ เลยทีเดียว  ด้วยบรรยากาศที่หนาวเย็นเพราะเป็นช่วงปลายปี  และเหนื่อยจาการเดินขึ้นภูทำให้นักท่องเที่ยวชาวเตรียมอุดมฯ  หลับใหลอย่างสนิท 

เช้าวันต่อมาเรามีโปรแกรมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น  โดยเดินทางจากที่พักเพียง ๒ กิโลเมตรซึ่งต้องเดินทางในขณะที่ยังมืดอยู่  ทั้งงัวเงียและอากาศก็เย็นมากแต่ข้าพเจ้าก็เดินไปถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นจนได้  ผู้คนมากมายกำลังรอชมความสวยงามของพระอาทิตย์ในยามเช้า  และไม่กี่อึดใจพระอาทิตย์ดวงน้อยก็โผล่ขึ้นมาจากริมเขา  อวดแสงสว่างสีส้มระเรื่อแก่สายตาผู้รอคอย  และขากลับข้าพเจ้าก็พบแม่คะนิ้งตามข้างทางมากมาย  เป็นภาพที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม  ในระหว่างวันทีมเตรียมอุดมฯของเราก็เดินทางไปยังน้ำตกต่างๆ ที่มีอยู่มากมายบนยอดภูกระดึง  และตอนบ่ายก็เดินทางไปยังผาหล่มสักที่ที่เราจะชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน  ว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดจนหลายคนถึงกับออกปากว่า “ถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่  ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง”  และก็เป็นดังคำกล่าวนั้นจริงๆ  หลังจากที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางระยะไกลก็มาถึงที่ผาหล่มสัก  ผู้คนเยอะมาก  จะเข้าห้องน้ำต้องต่อแถวยาวประมาณ ๕๐ คนเห็นจะได้  อากาศเริ่มเย็นขึ้นข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนๆไปซื้อโอวัลตินร้อนๆซึ่งมีให้บริการอยู่ที่นั้นด้วย  แก้วละ ๖๐ บาท  แต่อร่อยถึงใจ  หายเหนื่อยเลย  แล้วก็มาจับจองที่นั่งริมผาซึ่งชาวเตรียมอุดมฯได้มุมที่สวยพอเหมาะพอดีจริงๆ  และพวกเราก็เริ่มบรรเลงเพลงเก็บตะวัน  โดยมีเสียงกีต้าร์คลอไปด้วย  ความทรงจำในวันนั้นก็อยู่หัวใจเรื่อยมา

ความสวยงาม บรรยากาศและความเหนื่อยล้าในวันนั้นยังคงอยู่ในหัวใจไม่รู้ลืม  เป็นความประทับใจที่ข้าพเจ้าได้ไปภูกระดึงกับเพื่อนๆ  ทำให้เราเห็นความรักความสามัคคีช่วยเหลือกัน  และความสวยงามที่ธรรมชาติได้สรรสร้างไว้ก็น่ารักษาให้เป็นอย่างนี้ไปนานแสนนาน  หากมีโอกาสอีกแค่สักครั้งข้าพเจ้าขอไปเยือนที่ภูกระดึงอีกครั้ง  เพื่อเก็บเกี่ยวความงดงามของธรรมชาติที่ยังไม่ได้สัมผัสในครั้งนี้ให้มากที่สุด

 นางสาวชนิตา  บุตรรัตนะ

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1  เลขที่ 30